การเทรดหุ้นคืออะไร 

การเทรดหุ้นเป็นเรื่องของการซื้อและขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราสามารถเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทนั้น ๆ ได้ผ่านการซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว แต่ถ้าเราพูดว่า เทรดหุ้น นั่นอาจหมายถึงการซื้อและขายเพื่อมุ่งเน้นกำไรจากส่วนต่างของราคาเป็นหลัก ไม่ได้ลงทุนในระยะยาวเพื่อมุ่งหวังปันผลแบบเจ้าของบริษัท แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการเทรดหุ้นอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงพอสมควร ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจพื้นฐานให้ดีก่อนที่จะลงลึกในรายละเอียดของการเทรดหุ้น ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงกันว่า การเทรดหุ้นจริง ๆ แล้วคืออะไร ทำไมเราถึงควรเทรดหุ้น การเทรดหุ้นมีกี่แบบ พร้อมด้วยข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเทรดหุ้น เชื่อได้ว่าถ้าคุณอ่านบทความนี้จบอย่างน้อยที่สุด คุณจะได้เข้าใจว่าการเทรดหุ้นคืออะไร และควรจะเริ่มอย่างไรเพื่อให้คุณปลอดภัยและไม่หลงทาง ดังนั้นอย่ารอช้าไปดูกันเลยครับ 

การเทรดหุ้นคืออะไร? 

การเทรดหุ้นคือการซื้อและขายหุ้นของบริษัทมหาชนในตลาดแบบเป็นทางการอย่างตลาดหลักทรัพย์ หรือสามารถซื้อขายในตลาดไม่เป็นทางการอย่างแบบ over-the-counter (OTC) ได้เช่นกัน เมื่อคุณซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่ากับว่าคุณได้ซื้อส่วนของความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัทนั้น เมื่อบริษัทเติบโตและมีผลกำไรมากขึ้น มูลค่าหุ้นก็อาจเพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูง แต่การเทรดหุ้นก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงพอสมควร เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนจากปัจจัยหลายอย่าง เช่นสภาวะเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท และแม้แต่เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในโลก ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เทรดหุ้นคือ ค้นหาข้อมูลและทำความเข้าใจวิธีการเทรดหุ้นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เดย์เทรด สวิงเทรด และโพสิชั่นเทรด เป็นต้น นอกจากนี้ คุณควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความผันผวนของตลาด โอกาสที่จะขาดทุน ค่าธรรมเนียมและภาษีการเทรดหุ้น ซึ่งการทำความเข้าใจพื้นฐานของเรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดหุ้นที่ต้องการอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว 

การเทรดหุ้นมีความสำคัญอย่างไร ทำไมเราถึงควรเทรดหุ้น? 

จริง ๆ แล้วตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ เพราะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในการเติบโตและขยายธุรกิจได้ และเมื่อธุรกิจขยายก็จะเกิดการจ้างงาน และการใช้จ่ายตามมาในที่สุด ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง แต่พอพูดถึงการเทรดหุ้นในแง่ของนักลงทุนรายย่อยนั้นถือว่าวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่งและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นหรือจะเป็นการเทรดหุ้นใด ๆ ก็ตาม จึงถือว่ามีความสำคัญเพราะช่วยทำให้ระบบนิเวศของตลาดหุ้นคงอยู่ได้ และเมื่อตลาดหุ้นยังคงอยู่ได้ บริษัท, บุคคุล จนถึงประเทศชาติ ก็จะยังคงได้รับประโยชน์ต่อไป ทีนี้ลองมาเจาะดูว่าถ้าพูดถึงแค่เรื่องการเทรดหุ้นจะมีความสำคัญอย่างไรบ้าง: 

  1. เทรดหุ้นสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้: หุ้นเป็นหนึ่งในประเภทสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยมีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญในระยะยาว แน่นอนว่าการเทรดหุ้นอาจไม่ได้มุ่งเน้นการซื้อแล้วถือนาน ๆ ไปหลายปีก็จริง แต่ถ้าทุกครั้งที่คุณซื้อแล้วถือหุ้นไว้ระยะหนึ่งจนราคาปรับตัวสูงขึ้นมากพอแล้วจึงค่อยขายออกไป ก็จะทำให้ได้รับกำไรอย่างมาก และหากทำซ้ำเช่นนี้ได้เรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วเม็ดเงินลงทุนจะเติบโตขึ้นจนมีความมั่งคั่งในระยะยาวได้ในที่สุด 
  1. เข้าถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย: ตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย มีทั้งหุ้นในประเทศและต่างประเทศ หุ้นดี ๆ ที่น่าเทรดมีมากมาย ตัวอย่างหุ้นต่างประเทศน่าสนใจ เช่น หุ้นแอปเปิล (AAPL), หุ้น Alphabet (GOOG, GOOGL), หุ้น Amazon (AMZN), หุ้นไมโครซอฟท์ (MSFT), หุ้นNetflix (NFLX) และ หุ้นเทสล่า (TSLA) เป็นต้น  ส่วนหุ้นไทย เช่น หุ้นปตท. (PPT), หุ้นซีพีออล (CPALL), หุ้นธนาคารไนไทยต่าง ๆ เช่น KBANK, BBL และ SCB เป็นต้น ทำให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากยิ่งขึ้น 
  1. มีสภาพคล่อง: ตลาดหุ้นมีสภาพคล่องสูง หมายความว่าคุณสามารถซื้อและขายหุ้นได้ทันทีที่ต้องการ ไม่ต้องรอเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ เรื่องนี้สำคัญเพราะทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตโฟลิโอเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือถ้าเราต้องการเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสด เช่น เช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น เราก็สามารถขายหุ้นออกไปได้ทันที ไม่ต้องรอเป็นเวลานาน หรือเมื่อเป้าหมายทางการเงินของเราเปลี่ยนไปแล้วต้องการใช้เงินสด อยากขายหุ้นเพื่อนำเอากำไรไปทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต เช่น นำไปซื้อทรัพย์สินอื่น ๆ, ไว้ใช้ไปเรียนต่อ, นำใช้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการแต่งงาน, เป็นค่าเทอมลูก และอื่น ๆ ก็สามารถทำได้ทันที 
  1. มีรายได้แบบ Passive Income: อย่างที่เราบอกไปว่าจริงอยู่ที่แม้ว่าการเทรดหุ้นเราอาจไม่ได้เน้นเรื่องของปันผลมากนัก แต่ในบางครั้งเราซื้อหุ้นและถือไว้ระยะหนึ่ง เราก็อาจได้ปันผลมาด้วยเช่นกันหากเราไปถือหุ้นในช่วงที่บริษัทมีการจ่ายปันผล ถือเป็นอีกหนึ่งผลประโยชน์แบบ Passive Income ที่ได้จากการเทรดหุ้น 

ตลาดหุ้นคืออะไร? ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร? 

ตลาดหุ้น คือแพลตฟอร์มหรือสถานที่ที่บริษัทที่ต้องการระดมเงินทุนไปใช้ในการขยายกิจการจะนำหุ้นบางส่วนของบริษัทออกมาเสนอขายแก่สาธารณชน โดยทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง ตัวอย่างสมมุติเช่น บริษัท สวยทันที จำกัด ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการศัลยกรรมและเสริมความงาม ต้องการจะขยายกิจการด้วยการขยายสาขาให้มากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องใช้เงินทุนมากขึ้น จึงได้นำหุ้นบางส่วนของบริษัทเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปผ่านตลาดหุ้นนั่นเอง 

ตลาดหุ้นมีสองประเภทหลัก: ตลาดหลักและตลาดรอง ในตลาดหลัก บริษัทต่าง ๆ จะออกหุ้นใหม่และขายให้กับประชาชนทั่วไปในการเสนอขายครั้งแรก (IPO) เมื่อขายหุ้นใน IPO แล้ว พวกเขาจะเริ่มซื้อขายในตลาดรองหรือก็คือตลาดหุ้นที่เราเข้าไปซื้อขายกันรายวันนั่นเอง 

ตลาดรองแท้จริงแล้วก็คือตลาดหุ้นที่เราได้ยินชื่อคุ้น ๆ หูกันอยู่ทุกวันนั่นเอง ตัวอย่างตลาดหุ้นที่นับว่าเป็นตลาดรอง เช่น New York Stock Exchange (NYSE), London Stock Exchange (LSE) และ The Stock Exchange of Thailand (SET) เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อและขายหุ้นของบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหล่านี้ได้ 

สำหรับกลไกการทำงานของตลาดหุ้นอธิบายแบบให้เข้าใจง่ายก็คือ เมื่อคุณจะซื้อหุ้นสักตัว แปลว่าคุณกำลังซื้อหุ้นตัวนั้นจากนักลงทุนรายอื่นที่กำลังขายหุ้นตัวนั้นออกมา ราคาของหุ้นถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน โดยราคาจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีนักลงทุนจำนวนมากต้องการซื้อหุ้นตัวนั้น และลดลงเมื่อมีนักลงทุนจำนวนมากต้องการขายหุ้นตัวนั้น ดังนั้นราคาหุ้นก็จะขึ้น-ลงไปตามความต้องการซื้อและขายในช่วงเวลานั้น ๆ นั่นเอง 

หุ้นมีกี่ประเภท? 

หุ้นมี 2 ประเภทหลัก: หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ 

หุ้นสามัญ แสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท และให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นในการออกเสียงในการตัดสินใจของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลหากบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล แต่ไม่รับประกันว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเสมอ และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือระงับการจ่ายเงินปันผลได้โดยคณะกรรมการบริษัท 

หุ้นบุริมสิทธิ เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่โดยทั่วไปจะไม่มีสิทธิออกเสียง แต่มีสิทธิในสินทรัพย์และรายได้ของบริษัทสูงกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลเป็นจำนวนคงที่ ซึ่งมักจะสูงกว่าเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการหรือล้มละลาย โดยทั่วไปแล้วผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับการชำระเงินก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 

นอกจากหุ้นหลักทั้งสองประเภทนี้แล้ว ยังมีการแบ่งประเภทของหุ้นที่หลากหลายตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดของบริษัท อุตสาหกรรม และศักยภาพในการเติบโต ตัวอย่างเช่น บางบริษัทนับว่าเป็นหุ้นที่ “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) หรือ “หุ้นคุณค่า” (Value Stock) ซึ่งจัดประเภทตามศักยภาพในการเติบโตหรือการประเมินมูลค่าในปัจจุบัน นักลงทุนอาจจัดหมวดหมู่หุ้นตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capital) ซึ่งเป็นมูลค่ารวมของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของบริษัท บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำกว่า 2 พันล้านดอลลาร์โดยทั่วไปจะจัดประเภทเป็นหุ้น “ขนาดเล็ก” ในขณะที่บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์จะถูกจัดประเภทเป็นหุ้น “ขนาดใหญ่” (การวัดขนาดหุ้นอ้างอิงจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ) 

การเทรดหุ้นมีกี่ประเภท? 

การเทรดหุ้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีกลยุทธ์และเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือ 5 ประเภทของการเทรดหุ้น: 

  1. เดย์เทรด (Day Trading): คือการซื้อและขายระหว่างวันและตัดจบภายในวันไม่ถือสถานะข้ามคืน ผู้ที่เดย์เทรดมักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลักในการวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของราคาเพื่อหาจังหวะซื้อและขายเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว 
  1. การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) : คือการซื้อหุ้นแต่จะไม่ขายภายในวันเหมือนแบบแรก แต่จะถือสถานะไปอีก 2-3 วัน หรือ 1-3 สัปดาห์ เพื่อทำกำไรจากรอบการเคลื่อนที่ของราคา ผู้ที่สวิงเทรดมักจะใช้ทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคร่วมกัน เพื่อหาจังหวะซื้อขายหุ้น 
  1. โพซิชั่นเทรด (Position Trading): คือการซื้อหุ้นแล้วถือเป็นระยะเวลานานพอสมควร โดยปกติแล้วจะใช้เวลาถือหุ้นหลายเดือนถึงหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น ผู้ที่เทรดแบบโพซิชั่นเทรดต้องใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเข้ามาช่วยวิเคราะห์หุ้นมากกว่าสองแบบแรก เพื่อหาหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว และถือหุ้นเหล่านี้ผ่านความผันผวนของตลาดเพื่อรับรู้ผลกำไรในระยะยาว และ จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยบางส่วน 
  1. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investing): คือการลงทุนแบบเน้นที่มูลค่าที่แท้จริงของตัวกิจการ โดยจะเข้าซื้อก็ต่อเมื่อพบว่าราคาหุ้นในตลาดมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริง เรียกว่าการซื้อในราคาส่วนลด (Discount Price) นักลงทุนเน้นคุณค่าจะเน้นใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อระบุบริษัทที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโต ในอนาคต และซื้อเพื่อถือตลอดไปหรือถือหุ้นไว้ไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี หรือจนกว่าพื้นฐานของกิจการจะเปลี่ยนและความสามารถในการทำกำไรของกิจการเปลี่ยนไป 
  1. การลงทุนเน้นการเติบโต (Growth investing): คือการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีโอกาสในการเติบโตในอนาคต(ค่อนข้าง)สูง เพื่อมุ่งหวังว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต โดยจะลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นหลัก จะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อหาบริษัทที่มีรายได้และการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง และซื้อหุ้นในราคาพรีเมี่ยมตามศักยภาพในการเติบโต 

การเทรดหุ้นแต่ละประเภทต้องใช้ทักษะและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ไม่มีแบบไหนดีกว่ากัน อยู่ที่ตัวเราว่าชอบแบบไหน การเทรดหุ้นแนวไหนตรงกับความเป็นตัวเรามากที่สุด เพราะทุกรูปแบบล้วนสร้างความมั่งคั่งในแบบของตัวเองได้ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดหุ้นทุกคนที่จะต้องคำนึงไว้เสมอคือเรื่องของความเสี่ยง คุณต้องบริหารความเสี่ยงให้รอบคอบและรัดกุมเสมอ 

4 ขั้นตอน อยากเริ่มเทรดหุ้นต้องทำอะไรบ้าง? 

ถ้าคุณสนใจที่จะเทรดหุ้น ขั้นตอนในการเริ่มต้นมีดังนี้: 

  1. หาความรู้ก่อน: ข้อนี้พื้นฐานที่สุดแต่สำคัญสุด ถ้าไม่ทำข้อนี้ก็เตรียมตัวเสียเงินให้กับตลาดหุ้นได้เลย คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานของการวิเคราะห์หุ้นทั้งในเชิงเทคนิคคอลและปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงทำความเข้าใจสไตล์การเทรดทุกรูปแบบก่อน แล้วจึงเลือกรูปแบบการเทรดที่เหมาะกับตัวเอง และพยายามทำความคุ้นเคยกับข้อมูลต่าง ๆ ในตลาดจนเริ่มเข้าใจวัฏจักรความเป็นไปของตลาดหุ้น รวมถึงศึกษาเรื่องของการบริหารความเสี่ยง และจิตวิทยาการเทรด 
  1. เลือกโบรกเกอร์ที่ใช่: เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดและงบประมาณของคุณ พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการเทรด แพลตฟอร์มที่มีให้ใช้งาน และการบริการลูกค้าของเจ้าหน้าที่โบรกเกอร์ 
  1. ตั้งงบประมาณก้อนแรกให้ชัดเจน: กำหนดจำนวนเงินก้อนแรกที่คุณจะลงทุนแล้วยินดีพร้อมที่จะรับกับความสูญเสียทั้งหมด (หากมันเกิดขึ้น) ให้คิดซะว่าคือค่าเรียนรู้ตลาดหุ้น ดังนั้นแนะนำว่าอย่าเริ่มด้วยเงินเยอะเกินไป ให้เริ่มด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ ก่อน จนกว่าจะมั่นใจและชำนาญขึ้นค่อยขยายเงินลงทุน 
  1. เลือกหุ้นที่ใช่และเริ่มเทรด: ศึกษาและวิเคราะหุ้นที่คุณต้องการเทรด โดยการเลือกหุ้นดี ๆ สักตัวเพื่อเริ่มเทรด สามารถพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบการเงินของบริษัท การบริหารของบริษัท แนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้น ๆ ความโปร่งใสและความสามารถของผู้บริหาร วิสัยทัศน์ผู้บริหาร รวมถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วย  

7 ข้อแนะนำสำคัญในการเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ 

มาดูกันว่าสิ่งสำคัญที่คนเทรดหุ้นควรทำมีอะไรบ้าง:

  1. พัฒนาแผนการเทรด: ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยถ้าคุณอยากเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ แผนการเทรดหรือกลยุทธ์การเทรด คืออาวุธ ที่คุณเอาไว้ใช้หาเงิน แผนการเทรดที่ดีควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลยุทธ์การเข้าเทรด การทำกำไร และ การตัดขาดทุนที่ชัดเจน มีการใช้ความเสี่ยงในการเทรดที่เหมาะสมกับเงินทุน 
  1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ต้องยอมรับว่าหากคุณคิดจะเทรดหุ้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือวิชาที่คุณต้องรู้ คุณต้องวิเคราะห์กราฟเป็น ระบุเทรนของกราฟเป็น รู้ว่าจะหาจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมได้ยังไง เทรดยังไงให้ไม่สวนเทรน จุดไหนไม่ควรเข้าเทรด และรู้ว่าควรตั้ง Stop Loss ตรงไหน ควร Take Profit ตรงไหน ถ้าวิเคราะห์กราฟไม่เป็นคุณจะเข้าในจุดที่ไม่ควรเข้า หรือเข้าแล้วราคาร่วงทันที จนติดดอยหลายปี  ดังนั้นการรู้กราฟคือหัวใจสำคัญของการที่จะเทรดแล้วอยู่รอดในระยะยาว 
  1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ถ้าใครเลือกเทรดแบบเดย์เทรด อาจจะคิดว่าปัจจัยพื้นฐานไม่สำคัญไม่ต้องรู้ก็ได้ การคิดเช่นนั้นไม่ผิด แต่จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราเข้าใจเรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้วย เพราะถ้าเข้าใจพื้นฐานจะช่วยให้คุณเลือกหุ้นถูกตัว เลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องดีมาเทรด หรือรู้ว่าช่วงไหนควรหยุดเทรดเพราะปัจจัยพื้นฐานอาจส่งผลต่อกราฟทำให้เทคนิคอลเพี้ยนได้ แบบนี้เป็นต้น ดังนั้นรู้เรื่องนี้ย่อมส่งผลดีต่อการอยู่รอดในตลาดระยะยาว 
  1. บริหารความเสี่ยง: เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่าการเทรดหุ้นมีความเสี่ยงสูง แต่เราต้องหาทางอยู่รอดให้ได้ ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตั้ง Stop Loss เสมออย่าปล่อยให้โดนกราฟลากจนพอร์ทแดงเป็นเวลานาน และควรเสี่ยงในทุก ๆ ครั้งที่เทรดไม่เกิน 1-3% ของเงินลงทุนทั้งหมด และในทางตรงกันข้ามก็ควรตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ไว้ด้วยเช่นกัน หรืออย่างน้อยควรตั้งคำสั่งที่ช่วยล๊อคกำไรอย่าง Trailing Stop เป็นต้น 
  1. ทันข้อมูล: ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับตลาด ข้อมูลเศรษฐกิจ และการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อาจส่งผลต่อการเทรดของคุณ ติดตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และใช้โซเชียลมีเดียและแหล่งข้อมูลออนไลน์อื่น ๆ ให้เป็นประโยชน์ เพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและอารมณ์ของตลาด เพราะบางครั้ง “รู้กราฟ รู้พื้นฐาน แต่ไม่รู้เหตุการณ์หรืออารมณ์ตลาดในตอนนั้น” คุณก็อาจกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายในตลาดหุ้นได้เช่นกัน 
  1. บันทึกผลการเทรด: ติดตามผลลัพธ์การเทรดของคุณว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้ายังไม่ดีลองหาทางปรับกลยุทธ์ของคุณตามความจำเป็น จำไว้ว่าอย่าตัดสินใจหุนหันพลันแล่นตามความผันผวนของตลาด 
  1. รักษาวินัย: จำไว้ว่าการเทรดหุ้นเป็นเรื่องของเกมส์ระยะยาว อย่าปล่อยให้อารมณ์ระยะสั้นชี้นำการตัดสินใจของคุณจนพังพินาศ วินัยคือสิ่งที่จะทำให้คุณอยู่รอดในสนามรบแห่งนี้ในระยะยาว เพราะวินัยจะทำให้คุณทำสิ่งที่ควรทำในทุก ๆ วัน จนกระทั่งคุณประสบความสำเร็จ 

อย่าลืมว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในโลก ดังนั้นคุณต้องศึกษาข้อมูลและะวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเทรดหุ้น และตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเทรดหุ้นอยู่เสมอ เช่น การขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ คุณควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนเล็กน้อยและค่อย ๆ สร้างทักษะและประสบการณ์ในการเทรดของคุณไปเรื่อย ๆ ตลาดนี้ไม่มีคำว่ารวยเร็วแต่จนเร็วอะไม่แน่ ทุกความสำเร็จต้องใช้เวลาและความพยายาม เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านครับ 

FAQs 

1.เทรดหุ้นแอปไหนดี? 

แนะนำ 5 แอพยอดนิยมใช้เทรดหุ้น:  

1.Streaming: เป็นแอปเทรดหุ้นยอดนิยมที่สุดในประเทศไทย ใช้ฟรี ใช้ได้ทุกโบรกเกอร์ แสดงข้อมูลหุ้น กราฟหุ้น และระบบส่งคำสั่งซื้อขายแบบเรียลไทม์ พัฒนาโดย settrade.com  

2.Efin Trade Plus: เป็นแอปเทรดหุ้นยอดนิยมที่สุดรองลงมา มีระบบ Auto Trade มีฟังก์ชั่นใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคให้เลือกหลากหลาย ใช้ฟรี ใช้ได้ทุกโบรกเกอร์เช่นกัน พัฒนาโดย Online Asset  

3.Aspen Bualuang Trade: แอปเทรดหุ้นที่มีไว้ให้เฉพาะลูกค้าของ บล. บัวหลวง เท่านั้น จุดเด่นคือมีฟังก์ชั่นใช้วิเคราะห์กราฟครบครัน มีระบบ Auto Trade มีข้อมูลหุ้นและข่าวสารอัปเดตแบบเรียลไทม์ พัฒนาโดย THAIQUEST LIMITED  

4.Finansia Hero: เป็นแอปเทรดหุ้นที่มีระบบส่งคำสั่งซื้อขายที่ประมวลผลรวดเร็วมาก มีระบบ Home Trading System ดูกราฟราคาหุ้นได้ มีต้นทุนเฉลี่ยหุ้นให้ดู พัฒนาโดย FINANSIA SYRUS SECURITIES PUBLIC COMPANY LIMITED  

5.Liberator: แอปเทรดหุ้นน้องใหม่มาแรง ชูจุดเด่นเทรดหุ้นฟรีไม่มีค่าคอมมิชชั่น มุ่งสร้างโลกการลงทุนที่ทุกคนเท่ากัน และมีโปรแกรม P2P Lending ชื่อว่า StockLend ให้บริการธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการกำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทย  พัฒนาโดย บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด 

2.เทรดหุ้นออนไลน์ทำยังไง? 

ในการเทรดหุ้นออนไลน์ ขั้นแรกเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณและเปิดบัญชี จากนั้นเติมเงินในบัญชีของคุณและค้นหาข้อมูลหุ้นที่คุณต้องการซื้อขาย เมื่อคุณเลือกหุ้นที่คุณต้องการซื้อขายได้แล้ว ให้ส่งคำสั่งซื้อหรือขายผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์ จากนั้นคอยติดตามผลการเทรดและปรับพอร์ตของคุณตามความจำเป็น โปรดทราบว่าการซื้อขายหุ้นมีความเสี่ยง และสิ่งสำคัญคือต้องมีกลยุทธ์และแผนการจัดการความเสี่ยงที่ดี 

3.เทรดหุ้นคือการพนันไหม? 

การเทรดหุ้นมีความเสี่ยงก็จริง แต่ไม่ใช่การพนัน การพนันอาศัยโชค แต่การเทรดหุ้นเป็นเรื่องของความรู้ ทักษะ ความอดทน ความพยายาม ความมีวินัย การมีแผนการเทรดที่ชัดเจน มีการเก็บสถิติ แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันกำไรในตลาดหุ้น แต่เทรดเดอร์สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมก็จะสามารถอยู่รอดในตลาดหุ้นในระยะยาวได้ 

4.การเทรดหุ้นมือใหม่ทำยังไง? 

แนะนำว่าเริ่มทำตาม 5 ขั้นตอนนี้จะช่วยคุณได้: 

1.หาความรู้: ในเมื่อไม่เคยรู้ก็ต้องหาความรู้ก่อนเป็นอย่างแรก เริ่มจากเรียนรู้พื้นฐานของตลาดหุ้น เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนแบบต่าง ๆ และเทคนิคการบริหารความเสี่ยง ทุกวันนี้มีแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายให้เราศึกษาความรู้หุ้นไม่ว่าจะ บทความ วิดีโอ หรือคอร์สออนไลน์ทั้งฟรีและเสียเงินให้ลงเรียนมากมาย ลองเริ่มเรียนรู้แล้วทุกอย่างจะค่อย ๆ เป็นภาพชัดเจนขึ้น 

2.เลือกโบรกเกอร์: ถ้าผ่านข้อแรกมาแล้ว ต่อมาหาโบรกเกอร์ที่มั่นคง เชื่อถือได้ และตอบโจทย์ความต้องการของคุณในทุก ๆ ด้าน ทั้งการบริการ ผลิตภัณฑ์ และแหล่งข้อมูลด้านการศึกษาและแบบฝึกหัดหุ้นต่าง ๆ เพื่อช่วยคุณเริ่มต้น แต่สำคัญเลยคือต้องลงมือทำ เริ่มจากเปิดบัญชี ใส่เงินน้อย ๆ แล้วลองเริ่มเทรดหุ้นดูแล้วคุณจะเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น 

3.ศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์: ในข้อนี้จะเข้มข้นกับการฝึกฝนทักษะการเทรดหุ้นแล้ว หาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนก่อนลงทุนในหุ้นใด ๆ เรียนรู้วิธีอ่านงบการเงิน เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์กราฟหุ้น และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเทรดหุ้น 

4.พัฒนากลยุทธ์การลงทุน: มาถึงข้อนี้ถึงเวลาที่คุณจะต้องลองพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและการยอมรับความเสี่ยงของตัวคุณเองแล้ว และจงยึดมั่นในกลยุทธ์ของคุณและปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น แต่อย่าเปลี่ยนบ่อย ลองรีวิวทุก ๆ 3-6เดือน 

5.ขอคำแนะนำ: ถ้าผ่านมา4ข้อแล้วยังไม่มั่นใจ งั้นไม่เสียหายที่เราจะลองขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนลงทุนในตลาดหุ้น อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยลดเวลาการลองผิดลองถูกไปได้เยอะ เพราะการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จคือเทคนิคอย่างหนึ่ง 

5.การเทรดคืออะไร? 

การเทรดหมายถึงการซื้อและขายตราสารทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำกำไร ผู้ที่เข้ามาเทรดอาจมีเป้าหมายที่ต่างกัน เช่นบางคนเข้ามาเพื่อเก็งกำไร แต่บางคนอาจเข้ามาเทรดเพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยง เป็นต้น การเทรดทำได้โดยผ่านตัวกลางเช่น โบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเทรดที่ประสบความสำเร็จมักต้องใช้การผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การจัดการความเสี่ยง และจิตวิทยาการเทรด 

About Author

cropped-Naree-Suriyawan

Naree Suriyawan

Naree Suriyawan, a native of Bangkok, Thailand, embarked on her educational journey at Chulalongkorn University, earning her Bachelor's degree in Business Administration. She continued her pursuit of knowledge by completing a Master's degree in International Finance at Thammasat University. Naree's professional career began at Bangkok Financial Group, where she delved into the intricacies of finance, gaining valuable experience in risk management and investment analysis. She later moved on to work with top-tier Thai corporations, including Siam Investment Consortium, specializing in market research and international business development. With a wealth of experience in the Thai business world, Naree now shares her knowledge and ...

We will be happy to hear your thoughts

Leave a reply

PIP Penguin
Logo